การภาษีอากร
หน้าหลัก
จุดประสงค์รายวิชา
มาตรฐานรายวิชา
คำอธิบายรายวิชา
หน่วยการเรียนรู้
หน่วยที่ 1
>
ความหมายและความสำคัญของภาษีอากร
วัตถุประสงค์ในการจัดเก็บภาษีอากร
ลักษณะของภาษีอากรที่ดี
โครงสร้างของกฎหมายภาษี
การจำแนกประเภทภาษีอากร
ประมวลรัษฏากร
หน่วยที่ 2
กิจกรรมการเรียนรู้
ประเภทของภาษีอากร
สำหรับการจำแนกประเภทของภาษีอากรนั้น จะแตกต่างกันไปตามเกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกดังนี้
1. จำแนกภาษีอากรตามระดับที่จัดเก็บ ได้แก่
1.1 ภาษีระดับประเทศ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต
1.2 ภาษีระดับท้องถิ่น ได้แก่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย ภาษีท้องที่
2. การจำแนกภาษีอากรด้วยหลักการผลักภาระภาษี ได้แก่
2.1 ภาษีทางตรง คือภาษีที่ผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษี
เงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น
2.2 ภาษีทางอ้อม คือภาษีที่ผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต เป็นต้น
3. การจำแนกภาษีอากรตามวิธีการประเมินภาษี ได้แก่
3.1 ภาษีตามราคาหรือมูลค่า คือภาษีที่เรียกเก็บตามมูลค่าของฐานภาษี ปกติจะ กำหนดอัตราภาษีเป็นร้อยละ เช่น ร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น
3.2 ภาษีตามปริมาณหรือตามสภาพ เป็นภาษีที่จัดเก็บตามปริมาณของฐานภาษี ดังนั้นการจัดเก็บภาษีจึงจัดเก็บเป็นอัตราต่อปริมาณ เช่นจัดเก็บตามกิโลกรรม ตามชิ้นภาษีที่ จัดเก็บตามปริมาณได้แก่ ภาษีสรรสามิตร ภาษีศุลกากร
4. การจำแนกภาษีอากรตามลักษณะการนำเงินภาษีไปใช้ ได้แก่
4.1 ภาษีทั่วไป เป็นภาษีที่จัดเก็บเพื่อนำไปใช้ในกิจการทั่วไปของรัฐ เช่น ภาษี
สรรพสามิต ภาษีศุลกากร เป็นต้น
4.2 ภาษีเพื่อการเฉพาะอย่างคือภาษีที่จัดเก็บเพื่อนำไปใช้ในกิจการใดกิจการหนึ่ง โดยเฉพาะจะนำไปใช้เพื่อกิจการอื่นไม่ได้ เช่น ภาษีน้ำตาล ภาษีที่เก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นกองทุนน้ำมัน เป็นต้น
5. การจำแนกภาษีตามความถาวรของกฎหมายภาษีอากร ได้แก่
5.1 ภาษีถาวรหรือภาษีปกติ คือภาษีที่เก็บอยู่เป็นปกติในแต่ละปี เช่น ภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีโรงเรือน เป็นต้น
5.2 ภาษีชั่วคราว คือภาษีที่จัดเก็บเป็นการชั่วคราวเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน หรือเพื่อ กิจการใดกิจการหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดเหตุการณ์นั้นแล้วก็จะยกเลิกการเก็บ เช่น การเก็บ ภาษีเพิ่มขึ้นในช่วงสงครามเพื่อนำไปใช้ในการป้องกันประเทศเป็นต้น
ผลกระทบของการจัดเก็บภาษีอากร
การจัดเก็บภาษีก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจหลายด้าน ที่สำคัญคือ ผลกระทบด้าน การจัดสรรทรัพยากร ด้านการกระจายรายได้ และผลกระทบต่อผลผลิตของชาติ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้ ผลกระทบด้านการจัดสรรทรัพยากร การเก็บภาษีคือการโอนย้ายทรัพยากรจาก ภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐ ดังนั้นผลกระทบจะเกิดกับเอกชนส่วนใดขึ้นอยู่กับว่าภาษีแต่ละประเภทรัฐ เก็บจากคนกลุ่มใด เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่จัดเก็บจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้า ดังนั้น ถือว่าภาษีประเภทนี้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ใช้สินค้าหรือบริการที่ต้องส่งหรือโอนเงินให้กับรัฐบาล เป็นต้น ผลกระทบต่อการกระจายรายได้ อย่างที่กล่าวไว้ว่าการจัดเก็บภาษีจะจัดเก็บจากผู้ที่มี เงินได้ซึ่งมีผลทำให้รายได้ที่แท้จริงของผู้มีเงินได้ลดลง การจัดเก็บภาษีจึงมีผลต่อการกระจายรายได้ ด้วย หมายความว่า ถ้าภาษีส่วนใหญ่ของประเทศเป็นภาษีทางตรงในอัตราที่ก้าวหน้า ภาระภาษีก็ จะตกอยู่กับคนที่มีรายได้สูง ทำให้การกระจายรายได้มีความเป็นธรรม หรือถ้าภาษีนั้นเป็นภาษี ทางอ้อมเช่นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาระภาษีก็จะกระจายให้กับคนทุกกลุ่มที่ใช้สินค้าหรือบริการ ผลกระทบต่อการผลิตของชาติ การเก็บภาษีจะมีผลต่อการบริโภค การออม และการ ลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงการผลิตด้วย การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการผลิตจึง ขึ้นอยู่กับการจัดเก็บภาษีอากรแต่ละประเภทเป็นสำคัญ เช่น การเก็บภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจะทำให้ รายได้ของผู้เสียภาษีน้อยลง การทำงานลดลง การจ้างงานลดลง ส่งผลให้การผลิตรมของชาติลดลง ไปด้วย เป็นต้น
การหลบหนีภาษีกับการหลบหลีกภาษี
การหลบหนีภาษี (Tax Evasion) คือการที่ผู้เสียภาษีใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายหรือฉ้อฉล
เพื่อที่จะทำให้ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยลง ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีความผิดและต้องได้รับโทษ
ตามกฎหมายตัวอย่างของการหนีภาษีเช่น ผู้เสียภาษีไม่กรอกจำนวนเงินได้หรือทรัพย์สินที่จะต้อง
เสียภาษีในแบบแสดงรายการโดยเจตนา หรือกรอกแต่กรอกไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อให้เสียภาษี
น้อย หรือการตั้งราคาโอน (Transfer Pricing) ก็เป็นการหนีภาษีเช่นเดียวกัน การตั้งราคาโอน
หมายถึงการที่บริษัทในเครือของบริษัทข้ามชาติ (Multinational Firm) ซื้อสินค้าจากบริษัทแม่หรือในบริษัทในเครือในต่างประเทศในราคาสูงกว่าความเป็นจริง เพื่อทำให้ต้นทุนสูง กำไรของบริษัทใน
ประเทศไทยจะได้ต่ำ ทำให้เสียภาษีน้อยลง หรือการที่บริษัท ในประเทศไทยขายสินค้าให้แก่บริษัท
แม่หรือบริษัทในเครือในต่างประเทศในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง กำไรจะได้ต่ำหรือขาดทุน ทำให้
เสียภาษีในประเทศไทยน้อยหรือไม่ต้องเสียภาษีเลย
การหลบหลีกภาษี (Tax avoidance) การหลบหลีกภาษีคือการที่ผู้เสียภาษีใช้วิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อทำให้ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยลง การใช้ช่องโหว่ของกฎหมายภาษีอากร (Tax Loopholes) เพื่อทำให้ไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียภาษีน้อยลงก็ถือเป็นการหลบหลีกด้วย ดังนั้นการหลบหลีกภาษีถือเป็นการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมาย ตัวอย่างของการหลบหลีกภาษีเช่น การที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยไม่นำเงินได้ที่ได้รับจาการทำงานหรือประกอบธุรกิจใน
ต่างประเทศเข้ามาในปีภาษีเดียวกันกับที่ได้รับเงินได้นั้น แต่นำเข้ามาในปีภาษีอื่น ทำให้ ไม่ต้องเสีย
ภาษีก็เป็นการหลบหลีกภาษีที่ไม่ผิดกฎหมาย เพราะตามแนวปฏิบัติของกรมสรรพากร หากผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยไม่นำเงินได้ที่ได้รับจากการทำงาน หรือประกอบธุรกิจในต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับที่ได้รับเงินได้นั้น กรมสรรพากร ก็ไม่เก็บภาษี