ภาระภาษี และการผลักภาระภาษี
ภาระภาษี หมายถึง ส่วนของรายได้แท้จริงที่ลดลงอันเนื่องมาจากการจัดเก็บภาษีอากรของรัฐบาล แบ่งออกเป็น2 นัย คือ
1) ภาระภาษีตามกฎหมาย หรือภาระภาษีอย่างเป็นทางการ หมายถึง ภาระในจำนวนหนี้ภาษีอากรของผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนดไว้
2). ภาระภาษีทางเศรษฐกิจ หรือภาระภาษีที่แท้จริง หมายถึง ภาระภาษีที่ต้องตกอยู่กับบุคคลในขั้นสุดท้าย กล่าวคือ บุคคลผู้นั้นไม่สามารถผลักภาระภาษีต่อไปให้ผู้อื่นได้อีกแล้ว
การผลักภาระภาษี (TAX SHIFTING) หมายถึง การที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนดถ่ายเท หรือแบ่งภาระภาษีบางส่วนหรือทั้งหมดไปให้กับบุคคลอื่น มี 2 วิธี คือ
1. การผลักภาระภาษีไปข้างหน้า เช่น ผู้ผลิตซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่เสียภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้า อาจผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคสินค้านั้นได้โดยการขึ้นราคาสินค้า
2. การผลักภาระภาษีไปข้างหลัง เช่น ผู้ผลิตซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่เสียภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้า อาจผลักภาระภาษีไปให้เจ้าของปัจจัยการผลิตที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้นได้ โดยการลดค่าจ้างแรงงาน หรือกดราคาปัจจัยการผลิต จากผลของการผลักภาระภาษี จะเห็นได้ว่าภาระภาษีที่แท้จริงมีโอกาสตกอยู่กับบุคคล 3 กลุ่ม คือ ผู้บริโภคสินค้า เจ้าของปัจจัยการผลิต และผู้ผลิตสินค้า ผู้ใดจะรับภาระภาษีที่แท้จริงไว้มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลักภาระภาษีของผู้ผลิตสินค้านั้น
การผลักภาระภาษีจะกระทำได้มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านด้วยกัน เช่น
1. โครงสร้างของตลาด ระดับการแข่งขันของตลาด เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดขอบเขตของการผลักภาระภาษีอากร เช่น ถ้าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันทางด้านผู้ผลิตน้อย หรือเป็นตลาดผูกขาด ผู้ผลิตย่อมมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าได้มาก เพราะผู้ซื้อมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตได้ไม่มากราย ดังนั้น ผู้ผลิตจึงสามารถผลักภาระไปให้ผู้บริโภคโดยการขึ้นราคาสินค้าตามค่าภาษีอากรได้ง่ายกว่ากรณีที่เป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันในระดับสูง
2. ลักษณะของสินค้า ก็มีส่วนกำหนดขอบเขตการผลักภาระภาษีได้ด้วย เช่น ถ้าเป็นสินค้าที่มีความคงทนถาวร เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ รถยนต์ ฯลฯ ผู้ผลิตก็สามารถเก็บรักษาสินค้าประเภทนี้ไว้ได้นานโดยไม่เสื่อมเสีย เพื่อรอช่วงจังหวะอันเหมาะสมที่จะสามารถผลักภาระภาษีไปให้แก่ผู้บริโภคได้มาก แต่ถ้าเป็นสินค้าเน่าเสียได้ง่าย เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ฯลฯ ผู้ขายจะเก็บสินค้าประเภทนี้ไว้ได้ไม่นาน ทำให้รอการรอจังหวะที่จะผลักภาระไปให้ผู้บริโภค ลดน้อยลง ดังนั้นแม้ราคาสินค้าจะต่ำก็จำเป็นต้องขาย
3. ประเภทของภาษีอากร ก็มีส่วนสำคัญต่อการผลักภาระภาษี เช่น ภาษีท้องอ้อมเป็นภาษีที่ผลักภาระได้ง่ายกว่าภาษีทางตรง
บทบาทของภาษีอากรกับนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
ภาษีอากรถือเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ ที่จะนำมาพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ แต่
อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า ภาษีอากรมีผลกระทบต่อรายได้ที่แท้จริงของผู้มีเงินได้ ดังนั้นนโยบายภาษีอากรที่ดีต้องตอบสนองเป้าหมายทางเศรษฐกิจ โดยต้องมีการจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรม การกระจายรายได้ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาดุลการค้าและดุลการชำระเงินระหว่างประเทศทั้งนี้ทั้งนั้นนโยบายภาษีอากรอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง 5 ประการดังต่อไปนี้
1.การส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
2.การจำกัดการบริโภคหรือส่งเสริมการบริโภคบางชนิด
3.การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
4.การแบ่งสรรปันส่วนรายได้และทรัพย์สินให้เป็นธรรม
5.การส่งเสริมสังคม การศึกษา การกีฬา และสิ่งแวดล้อม
วิธีการต่างๆดังกล่าวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจนั้น ควรเป็นที่เข้าใจในเบื้องต้นว่า แม้การภาษีอากรจะมีบทบาทอยู่มาก แต่ต้องใช้ร่วมกันไปกับนโยบายอื่นๆ ได้แก่นโยบายการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล นโยบายการกู้เงิน นโยบายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ก . การส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
นโยบายทางภาษีอากรมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆที่ส่งเสริมหรือพัฒนาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดังนี้
(1) การสร้างสมทุน(Capital Formation) ได้แก่การเพิ่มขึ้นซึ่งโรงงาน เครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการผลิต ซึ่งภาษีอากรมีบทบาทสำคัญในการสร้างสมทุน ดังต่อไปนี้
1.1 การยกเว้นภาษีอากรสำหรับกิจการที่ต้องการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ได้แก่ การยกเว้นภาษีเงินได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 ปี หรือ 8 ปี ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องการ โดยมีคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(Board of Investment) เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขและทิศทางของการส่งเสริมการลงทุน
1.2 การให้สิทธิพิเศษในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ ซึ่งอาจทำได้หลายวิธีได้แก่
- การให้หักค่าเสื่อมราคาได้เร็วขึ้นในระยะที่ลงทุน(Accelerate Depreciation) เช่นหากต้องการส่งเสริมการลงทุนในรูปเครื่องจักร เครื่องมือ ก็อาจกำหนดระยะเวลาในการให้หักค่าเสื่อมราคาสำหรับเครื่องจักรเครื่องมือนั้นในระยะแรกๆให้มากหรือให้หักได้ทั้งหมดภายในเวลาที่เร็วขึ้น เพื่อให้มีกำไรสุทธิในระยะแรกๆน้อยลง ทำให้เสียภาษีเงินได้น้อยลงด้วย
- การให้การอุดหนุนการลงทุนในรูปแบบของการให้หักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นจากปกติ เช่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 หรือ ร้อยละ 50 ของปกติ ขึ้น เพื่อให้มีกำไรสุทธิในระยะแรกๆน้อยลง ทำให้เสียภาษีเงินได้น้อยลงด้วย
- การยอมให้นำผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในปีหนึ่งไปหักจากกำไรของปีหลังๆได้นานขึ้น เกินกว่าปกติ เช่น ตามปกติบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำผลขาดทุนสุทธิไปหักจากกำไรสุทธิได้ไม่เกิน 5 ปี หากรัฐบาลต้องการส่งเสริมการลงทุนประเภทใดก็อาจกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำผลขาดทุนสุทธิไปหักจากกำไรสุทธิได้เกิน 5 ปี
(2) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
ภาษีอากรมีส่วนร่วมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยมีวิธีการ 2 วิธี ดังนี้
2.1 การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีของผู้ประกอบการภายในประเทศโดยยอมให้นำเอาค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนามาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้เพิ่มขึ้น เช่น
1. การให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร
และอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนา ให้หักในวันที่ได้ ทรัพย์สินนั้นมาในอัตราร้อยละ 40 ของมูลค่าต้นทุน สำหรับมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไขและอัตราที่กำหนด
ประโยชน์ ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ : ผู้ประกอบการที่ซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนา สามารถหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคา ในปีแรกได้สูงกว่าเครื่องจักร และอุปกรณ์ทั่วไป ทำให้ผู้ ประกอบการเสียภาษีลดลงในปีแรกที่ซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์มา ผู้ประกอบการก็จะได้ประโยชน์ในด้านการหมุนเงิน (CASH FLOW) เนื่องจากเป็นการชะลอการเสียภาษีในปีแรก ตาม"พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน"
2 การยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ของบริษัท และห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เป็นจำนวนร้อยละ 100 ของรายจ่าย ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาให้แก่ หน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนตามที่กำหนด
ประโยชน์ ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ : ผู้ประกอบการสามารถหักรายจ่ายสำหรับค่าจ้าง เพื่อทำการวิจัยและพัฒนาได้ตามปกติและยังได้รับยกเว้นเงินได้เป็นจำนวนร้อย ละ 100 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและพัฒนา เช่น ผู้ประกอบการได้จ่ายค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและพัฒนา 100,000 บาท ผู้ประกอบการจะหักรายจ่ายได้ตามปกติ 100,000 บาท และเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี 100,000 บาท ทำให้เงินได้ที่ต้องนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีลดลง 200,000 บาท หรือเทียบเท่ากับ 200% ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ตาม
"พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2539"
(3) การส่งเสริมการขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจ การภาษีอากรมีส่วนช่วยในด้านนโยบายการขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ได้ขุมทรัพยากรและกำหนดผลประโยชน์ที่รัฐบาลควรจะได้รับ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เอกชนในการสำรวจและขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ เช่น
- การลดค่าภาคหลวง ซึ่งเป็นภาษีที่รัฐบาลได้จากผลผลิตทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมให้มีการสำรวจ ปิโตรเลียมในทะเลน้ำลึกเกิน 200 เมตร
- การลดภาษีเงินได้ สำหรับผู้ประกอบกิจการขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ หรือการให้หักค่าสูยสิ้นของทรัพยากรธรรมชาติในการคำนวณค่าเสื่อมราคาได้เป็นพิเศษ เพื่อให้มีกำไรสุทธิน้อยลงและเสียภาษีน้อยลง
ข. การจำกัดการใช้ทรัพยากร
การจำกัดการใช้ทรัพยากร ของผู้บริโภค เป็นการขัดต่อหลักเสรีภาพในการเลือกของผู้บริโภค แต่ในบางกรณี รัฐบาลก็จำเป็นในการจำกัดการบริโภคของผู้บริโภค ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ได้แก่
(1) การบริโภคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งจะทำให้แรงงานของประเทศโดยส่วนรวมเสื่อมเสียไปซึ่งเป็นผลเสียในทางเศรษฐกิจ เช่นการบริโภคสิ่งเสพติดหรือของมึนเมา หากต้องการจำกัดการบริโภคสินค้าดังกล่าว รัฐบาลก็อาจใช้มาตรการทางภาษี โดยจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้านั้นมากขึ้น ทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น คนก็บริโภคน้อยลง
(2) การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีพ หรือสินค้าราคาแพงจากต่างประเทศ หากต้องการจำกัดการบริโภคสินค้าดังกล่าว รัฐบาลก็อาจใช้มาตรการทางภาษี โดยจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้านั้นมากขึ้น ทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น คนก็บริโภคน้อยลง เพราะหากจำกัดการใช้ทรัพยากรฟุ่มเฟือยลงได้ผลก็สามารถใช้ทรัพยากรและแรงงานของประเทศไปผลิตสินค้าที่จำเป็นต่อคนส่วนใหญ่ได้มากขึ้น
ค.การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยนัยที่ให้มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยสม่ำเสมอ ปราศจากภาวะเงินเฟ้อหรือ เงินฝืด เป็นจุดมุ่งหมายที่จะไม่ทำให้ทรัพยากรและแรงงานสูญเปล่า หรือเกิดความสับสนในการแบ่งรายได้ระหว่างคนต่างอาชีพ การใช้นโยบายทางภาษีอากรในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อหรือภาวะเงินฝืด จึงสามารถกระทำได้ดังนี้
(1) เงินเฟ้อ ได้แก่ภาวะที่อุปสงค์ในการซื้อสินค้าและบริการคิดเป็นเงินรวมกันเกินกว่าระดับที่จะผลิตสินค้าหรือบริการได้ในขณะที่ปัจจัยการผลิตทำงานเต็มที่แล้ว ทำให้เกิดภาวการณ์ขึ้นราคาของสินค้าและบริการต่างๆอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ค่าของเงินมีมูลค่าต่ำลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องใช้นโยบายทางภาษีอากรในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ก็อาจใช้วิธีขึ้นภาษีทางอ้อม เช่น เพิ่มอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ซึ่งมีผลเป็นการทำให้สิ้นค้าราคาแพงขึ้นเป็นการลดการบริโภคของประชาชนมีผลเป็นการลดรายได้ของประชาชนขั้นต่อๆไป
(2) เงินฝืด ได้แก่ภาวะที่อุปสงค์ในการซื้อหาสินค้าหรือบริการรวมกันต่ำกว่าต่ำกว่าระดับที่จะผลิตสินค้าหรือบริการได้หากปัจจัยการผลิตทำงานเต็มที่ เป็นผลให้เกิดการว่างงาน คนมีรายได้น้อยลงและราคาสินค้าต่างๆก็โน้มเอียงในทางลดลง ซึ่งภาวะเงินฝืดมีผลเสียแก่ระบบเศรษฐกิจ เพราะ การที่ใช้ปัจจัยการผลิตไม่เต็มที่ทำให้เป็นผลเสียที่ชะงักความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัจจัยการผลิตที่เป็นแรงงาน เมื่อไม่ได้ใช้ไประยะเวลาหนึ่งก็ไม่อาจใช้ในเวลาอื่นได้
การใช้นโยบายทางภาษีแก้ไขปัญหาภาวะเงินฝืดได้แก่การลดภาษีทางตรง เช่นการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นการทำให้ประชาชนมีเงินมาใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าหรือบริการขายได้ดีขึ้น มีการผลิตเพิ่มมากขึ้น มีการจ้างแรงงานมากขึ้น คนไม่ตกงาน
ง.การแบ่งสรรปันส่วนรายได้และทรัพย์สิน
การแก้ไขปัญหาความเลื่อมล้ำของประชาชนในด้านรายได้และทรัพย์สินนั้น อาจใช้นโยบายทางภาษีอากร เป็นเครื่องมือในการแก้ไขความเหลื่อมล้ำสูงต่ำทางเศรษฐกิจของประชาชน โดยการใช้ภาษีทางตรงเป็นเครื่องมือ ได้แก่
(1) ภาษีเงินได้ การจัดเก็บภาษีเงินได้ในอัตราก้าวหน้า นอกจากจะถูกต้องตามความเป็นธรรมในด้านความสามารถของผู้เสียภาษีแล้ว จะป้องกันความเหลื่อมล้ำสูงต่ำทางเศรษฐกิจไปในตัวด้วย
(2) ภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดก การเก็บภาษีทรัพย์สินจากคนที่มีทรัพย์สินมาก หรือ จากคนที่ได้รับมรดกมาก ย่อมเป็นการแก้ไขปัญหาความเลื่อมล้ำของประชาชนในด้านรายได้และทรัพย์สิน เช่น ภาษีโรงเรือนที่ดิน ภาษีรถยนต์ ภาษีมรดก
จ. การส่งเสริมสังคม การศึกษา การกีฬา และสิ่งแวดล้อม
ได้แก่การใช้มาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้มีการส่งเสริมสังคม การศึกษา การกีฬา และสิ่งแวดล้อม เช่น การให้หักลดหย่อนบิดามารดา เป็นการส่งเสริมสังคมให้มีการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา หรือ การให้หักลดหย่อนคนพิการ การหักลดหย่อนเงินบริจาคเพื่อการศึกษา หักได้ 2 เท่า การลดหย่อน เงินบริจาคเพื่อการกีฬา หรือ การให้หักค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เป็นต้น
นอกจากนี้สำหรับคนพิการ กรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งรับคนพิการเข้าทำงาน หรือ จัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการ มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายในการจ้างคนพิการดังกล่าว (หักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า)หรือหากเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างแรงงานคนพิการเกินกว่าร้อยละ 60 มีสิทธิได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนเพิ่มเติมอีกร้อยละหนึ่งร้อย(หักเป็นรายจ่ายได้ 3 เท่า)
ฉ. ใช้มาตรการทางภาษีสนับสนุนนโยบายบางอย่างของรัฐบาล
ได้แก่การใช้มาตรการทางภาษีสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เช่น
(1) นโยบาย บ้านหลังแรก ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ร้อยละ 10 ของราคาบ้านแต่ไม่เกิน 5 แสนบาท เป็นเวลา 5 ปี ติดต่อกัน
(2) นโยบายรถยนต์คันแรก คืนภาษีไม่เกิน หนึ่งแสนบาทต่อคัน
(3) นโยบาย ค่าแรง 300 บาท โดย กระทรวงการคลัง ชี้แจงถึงมาตรการที่จะช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ เช่น การลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อย 23 ในปี 2555 และการหักรายจ่ายของค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปหักภาษีนิติบุคคลได้ 1.5 เท่า โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท
สรุป
ภาษีอากร มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือหนึ่งใน
การหารายได้ของรัฐ ช่วยส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจชาติ ควบคุมการบริโภคของประชาชน สร้างความ
มั่นคงต่อสังคม โดยการจัดเก็บภาษีนั้นจะจัดเก็บจากบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มีรายได้ และ
การจัดเก็บภาษีนั้นมีทั้งการจัดเก็บโดยตรงที่เรียกว่าภาษีทางตรง และภาษีทางอ้อม
การจัดเก็บภาษีอากรนั้นถือเป็นรายได้หลักของประเทศที่จะนำมาใช้เป็นรายจ่าย โดยการ
จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อพัฒนาประเทศต่อไป
ภาระภาษี หมายถึง ส่วนของรายได้แท้จริงที่ลดลงอันเนื่องมาจากการจัดเก็บภาษีอากรของรัฐบาล แบ่งออกเป็น2 นัย คือ
1) ภาระภาษีตามกฎหมาย หรือภาระภาษีอย่างเป็นทางการ หมายถึง ภาระในจำนวนหนี้ภาษีอากรของผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนดไว้
2). ภาระภาษีทางเศรษฐกิจ หรือภาระภาษีที่แท้จริง หมายถึง ภาระภาษีที่ต้องตกอยู่กับบุคคลในขั้นสุดท้าย กล่าวคือ บุคคลผู้นั้นไม่สามารถผลักภาระภาษีต่อไปให้ผู้อื่นได้อีกแล้ว
การผลักภาระภาษี (TAX SHIFTING) หมายถึง การที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนดถ่ายเท หรือแบ่งภาระภาษีบางส่วนหรือทั้งหมดไปให้กับบุคคลอื่น มี 2 วิธี คือ
1. การผลักภาระภาษีไปข้างหน้า เช่น ผู้ผลิตซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่เสียภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้า อาจผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคสินค้านั้นได้โดยการขึ้นราคาสินค้า
2. การผลักภาระภาษีไปข้างหลัง เช่น ผู้ผลิตซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่เสียภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้า อาจผลักภาระภาษีไปให้เจ้าของปัจจัยการผลิตที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้นได้ โดยการลดค่าจ้างแรงงาน หรือกดราคาปัจจัยการผลิต จากผลของการผลักภาระภาษี จะเห็นได้ว่าภาระภาษีที่แท้จริงมีโอกาสตกอยู่กับบุคคล 3 กลุ่ม คือ ผู้บริโภคสินค้า เจ้าของปัจจัยการผลิต และผู้ผลิตสินค้า ผู้ใดจะรับภาระภาษีที่แท้จริงไว้มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลักภาระภาษีของผู้ผลิตสินค้านั้น
การผลักภาระภาษีจะกระทำได้มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านด้วยกัน เช่น
1. โครงสร้างของตลาด ระดับการแข่งขันของตลาด เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดขอบเขตของการผลักภาระภาษีอากร เช่น ถ้าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันทางด้านผู้ผลิตน้อย หรือเป็นตลาดผูกขาด ผู้ผลิตย่อมมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าได้มาก เพราะผู้ซื้อมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตได้ไม่มากราย ดังนั้น ผู้ผลิตจึงสามารถผลักภาระไปให้ผู้บริโภคโดยการขึ้นราคาสินค้าตามค่าภาษีอากรได้ง่ายกว่ากรณีที่เป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันในระดับสูง
2. ลักษณะของสินค้า ก็มีส่วนกำหนดขอบเขตการผลักภาระภาษีได้ด้วย เช่น ถ้าเป็นสินค้าที่มีความคงทนถาวร เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ รถยนต์ ฯลฯ ผู้ผลิตก็สามารถเก็บรักษาสินค้าประเภทนี้ไว้ได้นานโดยไม่เสื่อมเสีย เพื่อรอช่วงจังหวะอันเหมาะสมที่จะสามารถผลักภาระภาษีไปให้แก่ผู้บริโภคได้มาก แต่ถ้าเป็นสินค้าเน่าเสียได้ง่าย เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ฯลฯ ผู้ขายจะเก็บสินค้าประเภทนี้ไว้ได้ไม่นาน ทำให้รอการรอจังหวะที่จะผลักภาระไปให้ผู้บริโภค ลดน้อยลง ดังนั้นแม้ราคาสินค้าจะต่ำก็จำเป็นต้องขาย
3. ประเภทของภาษีอากร ก็มีส่วนสำคัญต่อการผลักภาระภาษี เช่น ภาษีท้องอ้อมเป็นภาษีที่ผลักภาระได้ง่ายกว่าภาษีทางตรง
บทบาทของภาษีอากรกับนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
ภาษีอากรถือเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ ที่จะนำมาพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ แต่
อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า ภาษีอากรมีผลกระทบต่อรายได้ที่แท้จริงของผู้มีเงินได้ ดังนั้นนโยบายภาษีอากรที่ดีต้องตอบสนองเป้าหมายทางเศรษฐกิจ โดยต้องมีการจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรม การกระจายรายได้ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาดุลการค้าและดุลการชำระเงินระหว่างประเทศทั้งนี้ทั้งนั้นนโยบายภาษีอากรอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง 5 ประการดังต่อไปนี้
1.การส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
2.การจำกัดการบริโภคหรือส่งเสริมการบริโภคบางชนิด
3.การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
4.การแบ่งสรรปันส่วนรายได้และทรัพย์สินให้เป็นธรรม
5.การส่งเสริมสังคม การศึกษา การกีฬา และสิ่งแวดล้อม
วิธีการต่างๆดังกล่าวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจนั้น ควรเป็นที่เข้าใจในเบื้องต้นว่า แม้การภาษีอากรจะมีบทบาทอยู่มาก แต่ต้องใช้ร่วมกันไปกับนโยบายอื่นๆ ได้แก่นโยบายการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล นโยบายการกู้เงิน นโยบายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ก . การส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
นโยบายทางภาษีอากรมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆที่ส่งเสริมหรือพัฒนาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดังนี้
(1) การสร้างสมทุน(Capital Formation) ได้แก่การเพิ่มขึ้นซึ่งโรงงาน เครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการผลิต ซึ่งภาษีอากรมีบทบาทสำคัญในการสร้างสมทุน ดังต่อไปนี้
1.1 การยกเว้นภาษีอากรสำหรับกิจการที่ต้องการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ได้แก่ การยกเว้นภาษีเงินได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 ปี หรือ 8 ปี ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องการ โดยมีคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(Board of Investment) เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขและทิศทางของการส่งเสริมการลงทุน
1.2 การให้สิทธิพิเศษในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ ซึ่งอาจทำได้หลายวิธีได้แก่
- การให้หักค่าเสื่อมราคาได้เร็วขึ้นในระยะที่ลงทุน(Accelerate Depreciation) เช่นหากต้องการส่งเสริมการลงทุนในรูปเครื่องจักร เครื่องมือ ก็อาจกำหนดระยะเวลาในการให้หักค่าเสื่อมราคาสำหรับเครื่องจักรเครื่องมือนั้นในระยะแรกๆให้มากหรือให้หักได้ทั้งหมดภายในเวลาที่เร็วขึ้น เพื่อให้มีกำไรสุทธิในระยะแรกๆน้อยลง ทำให้เสียภาษีเงินได้น้อยลงด้วย
- การให้การอุดหนุนการลงทุนในรูปแบบของการให้หักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นจากปกติ เช่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 หรือ ร้อยละ 50 ของปกติ ขึ้น เพื่อให้มีกำไรสุทธิในระยะแรกๆน้อยลง ทำให้เสียภาษีเงินได้น้อยลงด้วย
- การยอมให้นำผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในปีหนึ่งไปหักจากกำไรของปีหลังๆได้นานขึ้น เกินกว่าปกติ เช่น ตามปกติบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำผลขาดทุนสุทธิไปหักจากกำไรสุทธิได้ไม่เกิน 5 ปี หากรัฐบาลต้องการส่งเสริมการลงทุนประเภทใดก็อาจกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำผลขาดทุนสุทธิไปหักจากกำไรสุทธิได้เกิน 5 ปี
(2) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
ภาษีอากรมีส่วนร่วมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยมีวิธีการ 2 วิธี ดังนี้
2.1 การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีของผู้ประกอบการภายในประเทศโดยยอมให้นำเอาค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนามาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้เพิ่มขึ้น เช่น
1. การให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร
และอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนา ให้หักในวันที่ได้ ทรัพย์สินนั้นมาในอัตราร้อยละ 40 ของมูลค่าต้นทุน สำหรับมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไขและอัตราที่กำหนด
ประโยชน์ ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ : ผู้ประกอบการที่ซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนา สามารถหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคา ในปีแรกได้สูงกว่าเครื่องจักร และอุปกรณ์ทั่วไป ทำให้ผู้ ประกอบการเสียภาษีลดลงในปีแรกที่ซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์มา ผู้ประกอบการก็จะได้ประโยชน์ในด้านการหมุนเงิน (CASH FLOW) เนื่องจากเป็นการชะลอการเสียภาษีในปีแรก ตาม"พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน"
2 การยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ของบริษัท และห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เป็นจำนวนร้อยละ 100 ของรายจ่าย ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาให้แก่ หน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนตามที่กำหนด
ประโยชน์ ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ : ผู้ประกอบการสามารถหักรายจ่ายสำหรับค่าจ้าง เพื่อทำการวิจัยและพัฒนาได้ตามปกติและยังได้รับยกเว้นเงินได้เป็นจำนวนร้อย ละ 100 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและพัฒนา เช่น ผู้ประกอบการได้จ่ายค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและพัฒนา 100,000 บาท ผู้ประกอบการจะหักรายจ่ายได้ตามปกติ 100,000 บาท และเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี 100,000 บาท ทำให้เงินได้ที่ต้องนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีลดลง 200,000 บาท หรือเทียบเท่ากับ 200% ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ตาม
"พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2539"
(3) การส่งเสริมการขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจ การภาษีอากรมีส่วนช่วยในด้านนโยบายการขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ได้ขุมทรัพยากรและกำหนดผลประโยชน์ที่รัฐบาลควรจะได้รับ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เอกชนในการสำรวจและขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ เช่น
- การลดค่าภาคหลวง ซึ่งเป็นภาษีที่รัฐบาลได้จากผลผลิตทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมให้มีการสำรวจ ปิโตรเลียมในทะเลน้ำลึกเกิน 200 เมตร
- การลดภาษีเงินได้ สำหรับผู้ประกอบกิจการขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ หรือการให้หักค่าสูยสิ้นของทรัพยากรธรรมชาติในการคำนวณค่าเสื่อมราคาได้เป็นพิเศษ เพื่อให้มีกำไรสุทธิน้อยลงและเสียภาษีน้อยลง
ข. การจำกัดการใช้ทรัพยากร
การจำกัดการใช้ทรัพยากร ของผู้บริโภค เป็นการขัดต่อหลักเสรีภาพในการเลือกของผู้บริโภค แต่ในบางกรณี รัฐบาลก็จำเป็นในการจำกัดการบริโภคของผู้บริโภค ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ได้แก่
(1) การบริโภคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งจะทำให้แรงงานของประเทศโดยส่วนรวมเสื่อมเสียไปซึ่งเป็นผลเสียในทางเศรษฐกิจ เช่นการบริโภคสิ่งเสพติดหรือของมึนเมา หากต้องการจำกัดการบริโภคสินค้าดังกล่าว รัฐบาลก็อาจใช้มาตรการทางภาษี โดยจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้านั้นมากขึ้น ทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น คนก็บริโภคน้อยลง
(2) การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีพ หรือสินค้าราคาแพงจากต่างประเทศ หากต้องการจำกัดการบริโภคสินค้าดังกล่าว รัฐบาลก็อาจใช้มาตรการทางภาษี โดยจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้านั้นมากขึ้น ทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น คนก็บริโภคน้อยลง เพราะหากจำกัดการใช้ทรัพยากรฟุ่มเฟือยลงได้ผลก็สามารถใช้ทรัพยากรและแรงงานของประเทศไปผลิตสินค้าที่จำเป็นต่อคนส่วนใหญ่ได้มากขึ้น
ค.การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยนัยที่ให้มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยสม่ำเสมอ ปราศจากภาวะเงินเฟ้อหรือ เงินฝืด เป็นจุดมุ่งหมายที่จะไม่ทำให้ทรัพยากรและแรงงานสูญเปล่า หรือเกิดความสับสนในการแบ่งรายได้ระหว่างคนต่างอาชีพ การใช้นโยบายทางภาษีอากรในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อหรือภาวะเงินฝืด จึงสามารถกระทำได้ดังนี้
(1) เงินเฟ้อ ได้แก่ภาวะที่อุปสงค์ในการซื้อสินค้าและบริการคิดเป็นเงินรวมกันเกินกว่าระดับที่จะผลิตสินค้าหรือบริการได้ในขณะที่ปัจจัยการผลิตทำงานเต็มที่แล้ว ทำให้เกิดภาวการณ์ขึ้นราคาของสินค้าและบริการต่างๆอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ค่าของเงินมีมูลค่าต่ำลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องใช้นโยบายทางภาษีอากรในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ก็อาจใช้วิธีขึ้นภาษีทางอ้อม เช่น เพิ่มอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ซึ่งมีผลเป็นการทำให้สิ้นค้าราคาแพงขึ้นเป็นการลดการบริโภคของประชาชนมีผลเป็นการลดรายได้ของประชาชนขั้นต่อๆไป
(2) เงินฝืด ได้แก่ภาวะที่อุปสงค์ในการซื้อหาสินค้าหรือบริการรวมกันต่ำกว่าต่ำกว่าระดับที่จะผลิตสินค้าหรือบริการได้หากปัจจัยการผลิตทำงานเต็มที่ เป็นผลให้เกิดการว่างงาน คนมีรายได้น้อยลงและราคาสินค้าต่างๆก็โน้มเอียงในทางลดลง ซึ่งภาวะเงินฝืดมีผลเสียแก่ระบบเศรษฐกิจ เพราะ การที่ใช้ปัจจัยการผลิตไม่เต็มที่ทำให้เป็นผลเสียที่ชะงักความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัจจัยการผลิตที่เป็นแรงงาน เมื่อไม่ได้ใช้ไประยะเวลาหนึ่งก็ไม่อาจใช้ในเวลาอื่นได้
การใช้นโยบายทางภาษีแก้ไขปัญหาภาวะเงินฝืดได้แก่การลดภาษีทางตรง เช่นการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นการทำให้ประชาชนมีเงินมาใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าหรือบริการขายได้ดีขึ้น มีการผลิตเพิ่มมากขึ้น มีการจ้างแรงงานมากขึ้น คนไม่ตกงาน
ง.การแบ่งสรรปันส่วนรายได้และทรัพย์สิน
การแก้ไขปัญหาความเลื่อมล้ำของประชาชนในด้านรายได้และทรัพย์สินนั้น อาจใช้นโยบายทางภาษีอากร เป็นเครื่องมือในการแก้ไขความเหลื่อมล้ำสูงต่ำทางเศรษฐกิจของประชาชน โดยการใช้ภาษีทางตรงเป็นเครื่องมือ ได้แก่
(1) ภาษีเงินได้ การจัดเก็บภาษีเงินได้ในอัตราก้าวหน้า นอกจากจะถูกต้องตามความเป็นธรรมในด้านความสามารถของผู้เสียภาษีแล้ว จะป้องกันความเหลื่อมล้ำสูงต่ำทางเศรษฐกิจไปในตัวด้วย
(2) ภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดก การเก็บภาษีทรัพย์สินจากคนที่มีทรัพย์สินมาก หรือ จากคนที่ได้รับมรดกมาก ย่อมเป็นการแก้ไขปัญหาความเลื่อมล้ำของประชาชนในด้านรายได้และทรัพย์สิน เช่น ภาษีโรงเรือนที่ดิน ภาษีรถยนต์ ภาษีมรดก
จ. การส่งเสริมสังคม การศึกษา การกีฬา และสิ่งแวดล้อม
ได้แก่การใช้มาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้มีการส่งเสริมสังคม การศึกษา การกีฬา และสิ่งแวดล้อม เช่น การให้หักลดหย่อนบิดามารดา เป็นการส่งเสริมสังคมให้มีการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา หรือ การให้หักลดหย่อนคนพิการ การหักลดหย่อนเงินบริจาคเพื่อการศึกษา หักได้ 2 เท่า การลดหย่อน เงินบริจาคเพื่อการกีฬา หรือ การให้หักค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เป็นต้น
นอกจากนี้สำหรับคนพิการ กรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งรับคนพิการเข้าทำงาน หรือ จัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการ มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายในการจ้างคนพิการดังกล่าว (หักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า)หรือหากเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างแรงงานคนพิการเกินกว่าร้อยละ 60 มีสิทธิได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนเพิ่มเติมอีกร้อยละหนึ่งร้อย(หักเป็นรายจ่ายได้ 3 เท่า)
ฉ. ใช้มาตรการทางภาษีสนับสนุนนโยบายบางอย่างของรัฐบาล
ได้แก่การใช้มาตรการทางภาษีสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เช่น
(1) นโยบาย บ้านหลังแรก ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ร้อยละ 10 ของราคาบ้านแต่ไม่เกิน 5 แสนบาท เป็นเวลา 5 ปี ติดต่อกัน
(2) นโยบายรถยนต์คันแรก คืนภาษีไม่เกิน หนึ่งแสนบาทต่อคัน
(3) นโยบาย ค่าแรง 300 บาท โดย กระทรวงการคลัง ชี้แจงถึงมาตรการที่จะช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ เช่น การลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อย 23 ในปี 2555 และการหักรายจ่ายของค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปหักภาษีนิติบุคคลได้ 1.5 เท่า โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท
สรุป
ภาษีอากร มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือหนึ่งใน
การหารายได้ของรัฐ ช่วยส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจชาติ ควบคุมการบริโภคของประชาชน สร้างความ
มั่นคงต่อสังคม โดยการจัดเก็บภาษีนั้นจะจัดเก็บจากบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มีรายได้ และ
การจัดเก็บภาษีนั้นมีทั้งการจัดเก็บโดยตรงที่เรียกว่าภาษีทางตรง และภาษีทางอ้อม
การจัดเก็บภาษีอากรนั้นถือเป็นรายได้หลักของประเทศที่จะนำมาใช้เป็นรายจ่าย โดยการ
จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อพัฒนาประเทศต่อไป